เส้นทางประท้วงใหญ่ในจีน ความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นการขับไล่ “สี จิ้นผิง”

ประท้วงในจีน นโยบายปราศจากโควิดเป็นเหตุ ไล่เรียงที่มาการต่อต้านในจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อขับไล่ “สี จิ้นผิง”

“เมืองจีน” กับ “การต่อต้าน” ดูเหมือนจะเป็น 2 คำที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ ด้วยลักษณะการปกครองของจีนที่ออกจะเอาจริงเอาจังให้ประชาชนอยู่ใต้กฎที่ต้องปฏิบัติ จนถึงประชาชนไม่กล้าหือกับทางการ

อย่างไรก็แล้วแต่ ในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทั่วทั้งโลกได้มองเห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้มองเห็น นั่นคือการต่อต้านในหลายพื้นที่ทั่วประเทศจีน และก็ร้ายแรงถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยพบมาก่อนตลอดระยะเวลาที่ดูแลประเทศ 10 ปี

หลายคนอาจสงสัยว่า เรื่องราวในประเทศจีนดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร นิวมีเดีย พีพีทีวี ได้ไล่ลำดับเรื่องสำคัญที่นำมาสู่การต่อต้านใหญ่คราวนี้

เรื่องราวทั้งหมดจะต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเจอการระบาดของ “ไวรัสโรคปอดปัญหา” ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ เป็นที่แรกในโลก และก็เมื่อองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้มันเป็นโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) ด้วยชื่อสากลว่า “โควิด-19” ทางการจีนก็ตัดสินใจที่จะใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” เมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรก

ประท้วงในจีน โควิด ล็อกดาวน์

ประท้วงในจีน มาตรการล็อกดาวน์คือการสั่งปิดเมือง

ห้ามคนเข้าออก และก็ห้ามไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น กระนั้นโควิด-19 ก็ยังคงเล็ดรอดและก็แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ของจีนอยู่ดี เป็นต้นว่า เมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซินเจียง ฯลฯ

ทางการจีนก็เลยประกาศนโยบาย “Zero COVID” หรือโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมและก็ลดการระบาดของโควิด-19 ในระดับที่จะต้องไม่เจอผู้ติดโรคในประเทศเลย ผ่านมาตรการล็อกดาวน์และก็กฎที่ต้องปฏิบัติที่เอาจริงเอาจังต่างๆ

อย่างไรก็แล้วแต่ การล็อกดาวน์ที่นานเกินไปเริ่มมีผลเสียต่อชีวิตของมนุษย์ รวมถึงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจเริ่มก่อตัว ซึ่งประชาชนก็เลือกที่จะระบายความรู้สึกว่าไม่ถูกใจผ่านสื่อโซเชียลมีเดียภายในประเทศ เป็นต้นว่า เวยปั๋ว

กลับกลายเป็นว่า ข้อมูลหรือรายละเอียดที่เกี่ยวกับความรู้สึกว่าไม่ถูกใจที่ประชาชนมีต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือการบอกกล่าวเรื่องราวและก็ผลกระทบด้านลบของการล็อกดาวน์ เป็นต้นว่า การขาดแคลนของกิน การไม่อาจจะปฏิบัติงานได้ กลับถูก “เซ็นเซอร์” และก็ถูกลบออกจากโซเชียลมีเดียทั้งหมด

ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจเริ่มร้ายแรงขึ้น เมื่อโรงหมอชั่วคราวหรือสถานที่กักกันผู้ติดโรคนิดหน่อยมีสภาพที่เสื่อมโทรม และก็เกิดการบังคับกักบริเวณอย่างผิดกฎหมายด้วยการใช้ความรุนแรง

กระทั่งในเดือน พฤศจิกายน 2021 โลกเจอการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) และก็กลายภัยรุกรามใหม่ต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน เมื่อมันสามารถหลุดรอดเข้ามาได้ในช่วงช่วงเวลากลางเดือน ธันวาคม 2021 และก็แพร่กระจายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซี่ยงไฮ้

ประชาชนจีนคิดว่า การหลุดรอดเข้ามาของโอมิครอนเป็นสิ่งชี้นำว่า นโยบาย Zero COVID และก็มาตรการล็อกดาวน์เป็นสิ่งที่ไม่มีความสามารถ ไร้ประโยชน์ และก็มีแต่ว่าจะสร้างผลกระทบในทางร้ายต่อเศรษฐกิจจีนและก็การดำรงชีวิตของประชาชน ทำให้ความมั่นใจในทางการจีนของประชาชนลดลงไปเรื่อยๆ

นอกจากนั้น เซี่ยงไฮ้ถูกล็อกดาวน์ภายใต้มาตรการที่เอาจริงเอาจัง ทำให้ประชาชนขาดแคลนของกินและก็ยา ในตอนที่กฎสำคัญของการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้อย่าง “การแยกผู้ที่ติดโรคออกจากผู้ที่ไม่ติดโรค” ก็ทำให้มีการพรากลูกไปจากพ่อแม่โดยไม่ยินยอม นอกเหนือจากนั้น ยังมีการฆ่าสุนัขทิ้ง ถ้าหากเจ้าของติดโควิด-19 ซึ่งจีนอ้างว่าเพื่อคุ้มครองป้องกันการกระจายเชื้อ ในขณะที่ไม่มีหลักฐานกระจ่างแจ้งว่า สุนัขสามารถแพร่โควิด-19 มาสู่คนได้ไหม

หรือเมื่อครั้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวมณฑลเสฉวนช่วงต้นเดือน กันยายน ประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์ทางการจีน เพราะเหตุว่ามีการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนอพยพหรือหนีออกจากตึก เนื่องด้วยยังมีการ “ล็อกดาวน์” คุ้มครองป้องกันโควิด-19 อยู่

เรื่องพวกนี้ทำให้ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจของประชาชนถูกสุมไปเรื่อยๆและก็เกิดการปะทุระลอกเล็กในช่วงปลายเดือน เดือนตุลาคม ที่มีการต่อต้านในช่วงที่มีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในช่วงช่วงเวลาเดียวกัน ยังเจอผู้ติดโรคในโรงงานของ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ฐานผลิตไอโฟนรายใหญ่ในเมืองเจิ้งโจว จนถึงจะต้องล็อกดาวน์บุคลากรกว่า 200,000 คนไว้ในเขตโรงงาน แต่ว่าในวันที่มีการประกาศล็อกดาวน์ ปรากฏภาพแรงงานมากไม่น้อยเลยทีเดียว “แห่หนีตาย” ออกจากโรงงาน เพราะเหตุว่าไม่ต้องการถูกกักบริเวณ

ประท้วงในจีน Zero Covid สีจิ้นผิง

การล็อกดาวน์เหมือนจะเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยดี

แต่ว่าบุคลากรหลายร้อยคนกลับออกมาต่อต้าน ประท้วงในจีน ทำลายของใช้ของสอยและก็กล้องวงจรปิด นิดหน่อยมีปากเสียงและก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่ จนถึงจะต้องมีการใช้แก๊สน้ำตา

บุคลากรกล่าวว่า พวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ของกินที่จัดไว้ไม่เพียงพอ บุคลากรใหม่หลายคนไม่ได้โบนัสพิเศษอย่างที่บริษัทสัญญาไว้ และก็หลายคนเริ่มไม่ค่อยสบายใจว่าโควิดจะระบาดลุกลาม

กระทั่งในช่วงช่วงเวลากลางเดือน พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ เริ่มมีสัญญาณบอกว่าทางการจีนกำลังจะยอมบรรเทามาตรการ ทำให้ชาวจีนพอจะมีความหวังได้บ้างว่าจะหลุดพ้นจากความครัดเคร่งนี้เสียเชิง พร้อมกับเริ่มมีการต่อต้านอย่างเป็นทางการหนแรกในกว่างโจวเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน

แต่ว่าเมื่อเริ่มมีการบรรเทามาตรการนิดหน่อย จีนกลับรายงานเจอผู้ติดโรคทะลุ 30,000 รายตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เยอะที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในจีน จนถึงมีการประกาศเข้มมาตรการอีกที

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชาวจีนระเบิดความรู้สึกว่าไม่ถูกใจออกมา คือเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมือง “อูหลู่มู่ฉี” ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งมีผู้ตาย 10 ราย

ที่ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจปะทุออกมาก็ต่อเนื่องมาจากนักผจญเพลิงไม่อาจจะฉีดน้ำเข้าไปดับเพลิงในตึกได้ เพราะเหตุว่ามี “แบร์ริเออร์” กั้นเขตล็อกดาวน์ และก็รถราของผู้อาศัยในอะพาร์ตเมนต์กีดขวางอยู่

ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจทั้งหมดที่ประชาชนชาวจีนสั่งสมมาเกือบ 3 ปีจึงระเบิดออก กลายเป็นการต่อต้านใหญ่ในหลายเมืองทั่วประเทศจีน โดยคำเรียกร้องของกลุ่มคนคัดค้านคือ ต้องการที่จะให้มีการยกเลิกนโยบายปราศจากโควิด เรียกร้องเสรีภาพสำหรับในการแสดงออก เรียกร้องให้ สี จิ้นผิง ลาออก และก็เรียกร้องให้มีการยุบพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่า ความระส่ำระสายภายในประเทศจีนคราวนี้จะขยายตัวหรือร้ายแรงขึ้นไหม แต่ว่านี่นับว่าเป็นบทเรียนสำคัญของจีนเลยว่า การไม่รับฟังเสียงของประชาชนนั้น จะมีผลตามมาอย่างไร จากความรู้สึกว่าไม่ถูกใจที่เป็นเหมือนแค่ไฟที่ปลายไม้ขีดไฟเล็กๆกลับลุกลามแย่ลงกว่าเดิมกลายเป็นความโกรธที่ร้ายแรงระดับกองเพลิงกองย่อมๆ